Stablecoin เข้าสู่เวทีนโยบายการเงิน
มาดูกันว่าความต้องการ Stablecoin จะสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินและผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยลดลงในปีต่อๆ ไปได้อย่างไร

สรุปด่วน
สรุปสร้างโดย AI ตรวจสอบโดยห้องข่าว
สตีเฟน มิราน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าความต้องการสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพอาจสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในห้าปี
ความต้องการ Stablecoin ที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงเนื่องจากจำนวนเงินกู้จะเพิ่มขึ้น
สินทรัพย์ดิจิทัลดอลลาร์ที่เติบโตอาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอำนาจครอบงำของดอลลาร์สหรัฐฯ และปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินโลก
ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกฎระเบียบ อัตราการนำไปใช้ และการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนระหว่างธนาคารและสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ
การพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการใช้ stablecoin ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการคริปโตอีกต่อไป แต่ได้ก้าวเข้าสู่ศูนย์กลางของระบบการเงินโลกแล้ว ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สตีเฟน มิแรน (Stephen Miran) ออกมาเตือนเมื่อไม่นานนี้ว่า ความสนใจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต่อ stablecoin อาจเปลี่ยนทิศทางของนโยบายการเงิน และกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำลง
ในเวทีเสวนาด้านนโยบายเศรษฐกิจล่าสุด มิแรนคาดการณ์ว่า ความต้องการ stablecoin อาจพุ่งขึ้นแตะเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยเขาระบุว่าการเพิ่มขึ้นของความต้องการดังกล่าวจะขยายปริมาณเงินทุนในระบบ และสร้างแรงกดดันให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลง ซึ่งอาจท้าทายจุดยืนของ Fed ที่ต้องการรักษาอัตราดอกเบี้ย “สูงไว้นานกว่าเดิม”
เมื่อสินทรัพย์ดิจิทัลที่อิงกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น stablecoin ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก มิแรนเชื่อว่าอิทธิพลของสินทรัพย์เหล่านี้อาจเปลี่ยนโครงสร้างของระบบการเงินโลก ตั้งแต่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ไปจนถึงกระแสสภาพคล่องระหว่างประเทศ
🇺🇸 LATEST: Fed Governor Stephen Miran says growing stablecoin demand could push down interest rates, predicting the market could hit $3 trillion in the next 5 years. pic.twitter.com/TercUihJE3
— Cointelegraph (@Cointelegraph) November 10, 2025
ความต้องการ stablecoin มีแนวโน้มพุ่งแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์
มิแรนประเมินว่า ความต้องการ stablecoin อาจอยู่ระหว่าง 1 ล้านล้านถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยส่วนใหญ่ของ stablecoin นั้นตรึงค่าไว้กับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนถึงอิทธิพลระดับโลกของสกุลเงินดอลลาร์ เขายังเสริมด้วยว่ากฎระเบียบของสหรัฐกำหนดให้ผู้ออก stablecoin ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันที่มีความปลอดภัยและสภาพคล่องสูง เช่น ตั๋วเงินคลัง (Treasury bills) และพันธบัตรรัฐบาล
ผลลัพธ์คือ การเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลที่อิงกับดอลลาร์ช่วยหนุนความต้องการหนี้รัฐบาลสหรัฐโดยตรง มิแรนอธิบายว่า ความต้องการพันธบัตรเพิ่มขึ้นนี้สามารถทำให้อัตราผลตอบแทน (yield) ลดลง และส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสมดุลที่เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยเป็นกลาง (r*) ลดลงไปด้วย ซึ่ง r* ที่ต่ำลงหมายความว่า Fed อาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
กลไกที่ทำให้ stablecoin กดอัตราดอกเบี้ยลง
ในมุมมองของมิแรน กลไกนี้เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อความต้องการ stablecoin เพิ่มขึ้น เงินจำนวนมากจะถูกเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่อิงกับดอลลาร์ ซึ่งทำให้ปริมาณเงินในระบบการเงินโดยรวมเพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของแหล่งเงินทุนนี้จะกดต้นทุนการกู้ยืมให้ต่ำลง และทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลงตาม
หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป อัตราดอกเบี้ยเป็นกลางอาจลดลง ซึ่งเป็นระดับที่นโยบายการเงินไม่ได้กระตุ้นหรือชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงนี้หมายความว่า Fed อาจต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เช่น อัตราเงินกู้ระหว่างธนาคาร (Federal Funds Rate) ให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อรักษาสมดุลของเศรษฐกิจโดยรวม
มิแรนเน้นว่า ผลกระทบนี้อาจเป็น “เชิงโครงสร้าง” ไม่ใช่เพียงชั่วคราว ซึ่งหมายความว่า เมื่อความต้องการ stablecoin กลายเป็นส่วนถาวรของระบบการเงินโลก Fed จะต้องปรับมุมมองระยะยาวต่อทิศทางนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ผลกระทบต่อระบบการเงินและนโยบายการเงินทั่วโลก
ผลที่ตามมาจากความต้องการ stablecoin ที่เพิ่มขึ้นไม่ได้จำกัดแค่เรื่องอัตราดอกเบี้ย หากความต้องการดังกล่าวขยายตัว จะส่งผลโดยตรงต่อทิศทางของกระแสสภาพคล่องทั่วโลก ที่สำคัญกว่านั้นคือ มันจะเปลี่ยนวิธีที่นโยบายการเงินส่งผลต่อเศรษฐกิจ
ประการแรก ความต้องการ stablecoin ที่เพิ่มขึ้นจะกดดันให้ Fed ต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการไหลเข้าของเงินทุนจากทั่วโลกเข้าสู่สินทรัพย์ที่อิงกับดอลลาร์ในอัตราที่รวดเร็วขึ้น
ประการที่สอง ธนาคารพาณิชย์อาจเผชิญกับการไหลออกของเงินฝาก หากผู้ฝากเงินหันไปถือ stablecoin มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้มงวดของสินเชื่อในระบบ ในระยะยาว โลกที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลสกุลดอลลาร์มากขึ้นอาจทำให้เกิดภาวะ “ดอลลาร์ไลเซชัน” (Dollarization) ในประเทศอื่น ๆ และลดทอนอำนาจควบคุมนโยบายการเงินภายในประเทศของตนเอง
บทสรุป
สารจากผู้ว่าการ สตีเฟน มิแรน ชัดเจนว่า ความต้องการ stablecoin ไม่ใช่เพียงแนวโน้มในโลกคริปโตอีกต่อไป แต่เป็น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมหภาค ที่กำลังเกิดขึ้นจริง หากมูลค่ารวมของ stablecoin เพิ่มขึ้นแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเปลี่ยนทั้งกลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและวิธีดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญของ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ว่าจะปรับตัวได้มากน้อยเพียงใด ในขณะที่โลกการเงินกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ความมั่นคงหรือความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นต่อเสถียรภาพทางการเงิน จะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่หน่วยงานกำกับดูแล นักลงทุน ไปจนถึงตลาดทั่วโลก
ติดตามเราบน Google News
รับข้อมูลเชิงลึกและการอัปเดตคริปโตล่าสุด
โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

มิตซูบิชิ UFJ ของญี่ปุ่นเพิ่มสัดส่วนถือหุ้น MicroStrategy เป็น 29 ล้านดอลลาร์
Shweta Chakrawarty
Author

Bitcoin พุ่งทะลุ 106,000 ดอลลาร์ ขณะที่ความกังวลเรื่องการปิดรัฐบาลสหรัฐฯ คลี่คลาย
Vandit Grover
Author

ดัชนี Altcoin Season ขยับขึ้นแตะระดับ 33 บ่งชี้การเปลี่ยนทิศจากการครองตลาดของ Bitcoin
Vandit Grover
Author